สินค้าที่เลือกมีหลายสเปค/สี/ราคา โปรดเลือกจากรายการด้านล่างแล้วคลิกปุ่ม "ใส่ตะกร้าสินค้า"

ถ่ายภาพ City Scape จากตึกสูง (ใบหยก)

สินค้า
สถานะสินค้า
ราคา
จำนวน
สินค้าหมดชั่วคราว
* สินค้าที่มีสถานะ "รอยืนยัน" เป็นสินค้าที่ต้องเช็คสต็อคก่อน สามารถสั่งซื้อได้ตามปกติ เจ้าหน้าที่จะตอบกลับใน 1 วันทำการ
รายละเอียดเพิ่มเติม
ถ่ายภาพ City Scape จากตึกสูง (ใบหยก)

ทริปถ่ายรูปคราวนี้ ขอพาแฟนๆ Photo Corner มาถ่ายรูปกันในมุมมองแบบเบิร์ดอายวิวบ้าง โจทย์ในทริปครั้งนี้คืออออ การถ่ายภาพ City Scape จากตึกสูงๆ มาดูกันซิว่าเราจะมีเทคนิคการถ่ายยังไงบ้าง ให้ถ่ายออกมาไม่เรี่ยราด เลอะเทอะ (พูดถึงถ่ายภาพนะ อย่าคิดมาก..)  และปัญหาที่เราจะต้องเจอตอนไปถ่ายบนตึกสูงคืออะไร แล้วจะโซ้ยปัญหานี้ยังไง ตามพวกเรามาเลยค่ะ





ที่ๆพวกเราเลือกไปถ่ายกันวันนี้คือ ตึกใบหยก 2 ซึ่งเป็นที่ๆพวกเราคุ้นเคยกัน





วันนี้เราจะมาชมวิวอย่างเดียวนะ พอมาถึงแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วที่ เคาน์เตอร์ชั้น 1 ข้างหน้าทางเข้าโรงแรม หรือจะไปซื้อที่ ชั้น 19  ก็ได้ แต่วันนี้เราไปซื้อที่ชั้น 19 ค่ะ





ราคาตั๋วคนละ 220 บาท (ไปเมื่อวันที่ 2/9/11) ที่ราคานี้เราจะได้ทั้งชมวิว ชั้น 77  เป็นชั้นที่เหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก , ชั้น 83 เป็น Bar สำหรับนั่งดริ๊งค์กันแบบชิวๆ (The Roof Top) และ ชั้น 84 ที่เป็นชั้นพื้นหมุน (ชั้นนี้จะไม่มีกระจก มีแต่ลูกกรงเหล็กกันเราปลิวตกลงไป)  พอชมวิวเสร็จเราก็เอาตั๋วมาแลก Welcome Drink ที่ชั้น 83 ได้ด้วยนะ (อ่านข้อมูลการชมวิวตึกใบหยกแบบละเอียดๆ คลิกที่นี่ค่ะ)





พอได้บัตรแล้ว ใครที่ซื้อบัตรจากชั้น 1 จะขึ้นลิฟท์แก้วไปชั้น 77 เลยก็ได้ จะได้ชมวิวระหว่างขึ้นไปด้วย ใช้เวลาแค่ 80 วิเท่านั้น (หูจะอื้อมั้ยเนี่ยยย) แต่วันนี้เราซื้อบัตรจากชั้น 19 ก็เลยขึ้นลิฟท์ธรรมดาไปละกันนะ





วันนี้เราจะมีอยู่ 2 หัวข้อใหญ่ๆที่จะพูดถึงคือ


1. แนะนำวิธีถ่ายภาพแนว City Scape จากตึกสูง จะถ่ายยังไงให้ภาพมันไม่ออกมาเรี่ยราด


2. การถ่ายภาพ City Scape ผ่านกระจก เราจะเจอปัญหาอะไร และจะแก้ไง





มาเริ่มที่หัวข้อแรกก่อน วิธีถ่ายภาพแนว City Scape จากตึกสูง เราจะถ่ายกันที่ชั้น 84 ซึ่งเป็นชั้นพื้นหมุน มาดูกันเป็น step by step เลยนะ


1. อุปกรณ์ที่เราเตรียมมาวันนี้..





เลนส์
เราเตรียมมา 2 อัน วันนี้หยิบ Fix 100 เอามาเป็นเลนส์เทเล่ กะเลนส์ wide 10-22  มา


สำหรับที่ชั้นพื้นหมุน เราจะใช้อุปกรณ์แค่นี้นะ จะไม่ใช้ขาตั้ง ตั้งขายังไงก็ภาพก็เบลออยู่ดีเพราะพื้นมันหมุน แถมที่มันยังแคบอีกตะหาก เราเลยขอใช้วิธีดัน ISO ไปสูงๆ ให้ได้ Speed ที่ถือได้ละกันนะ





2. ควรจะถ่ายช่วงเวลาไหนดี?


จริงๆแล้วทีม ILoveToGo ไปถึงตั้งแต่ 4 โมงเย็นอ่ะ ก็ลองถ่ายไปเรื่อยๆ ปรากฎว่าภาพที่ได้ออกมาเนี่ย แสงแข็งโป๊กเลย ดูภาพแล้วช่างร้อนระอุเหลือเกิ๊น ราวกับว่าเรากำลังกลายร่างเป็นทีม จส.100 รายงานสภาพการจราจรจากที่สูงจริงๆ





ในที่สุดเลยได้ข้อสรุปว่า ควรถ่ายตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มตก (ประมาณอีก 10 นาทีจะ 6 โมงเย็น) ไปจนถึงช่วงทไวไลท์ (พระอาทิตย์ตกไปแล้ว 30 นาที) นั่นหล่ะ จะเป็นเวลาที่ทำให้ภาพเรามีสเน่ห์ และมีสีสันมากที่สุดจ้า





3. วิธีจัดองค์ประกอบ ด้วยความที่วันนี้เรามีเลนส์มา 2 แบบ เราก็มาดูวิธีการจัดองค์ประกอบแต่ละเลนส์กันเลยนะ






อาจจะเกิดคำถามว่า ทำไมคราวนี้เอาเลนส์มา 2 แบบหล่ะ ??
ก็อยากจะได้ภาพ City Scape 2 สไตล์หน่ะ เพราะแต่ละเลนส์ที่เอามาก็มีคาแรคเตอร์ที่ต่างกัน จะได้เอาไว้เป็นไอเดียว่าเลนส์ wide จะจัดองค์ประกอบยังไง แล้วถ้าเป็นเลนส์เทเล่จะจัดยังไง





เลนส์ wide มี character ที่พิเศษอยู่อย่างนึงคือ มันจะผลักทุกอย่างให้ไกลออกไปจากตัวเรา ภาพที่ได้มันจะดูกว้างๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมากมาย ก็อาจจะจัดองค์ประกอบยากนิดนึง ถ้าในภาพไม่มี Subject ละก็ จะทำให้ภาพเราดูสะเปะสะปะ เรี่ยราด ใครดูก็จะมีแต่คำถามว่า ถ่ายรัยมาเนี่ยยย -_-" เราก็คงไม่อยากให้เป็นอย่างงั้น


ดังนั้น สิ่งที่เราจะมองหา แล้วจับมันมาเป็น Subject ในภาพตอนที่เราใช้เลนส์ wide ก็คือ


1. เส้น เช่น พวกทางด่วน, รางรถไฟ, เส้นถนน, สะพาน หรือกลุ่มตึกที่ขนาดเท่าๆกันดูแล้วเรียงต่อกันเป็นเส้นได้


2. ท้องฟ้าที่มีสีสันสวยๆ ด้วยความที่เป็นเลนส์ wide ถ่าย city ภาพที่ได้จะเห็นเป็นตึกยิบๆไปหมด ถ้าเราได้ท้องฟ้าที่มีสีสันสวยๆมา ก็จะทำให้ภาพรวมของภาพที่ได้ดูมีพลังมากขึ้น


3. จากนั้นก็จัดองค์ประกอบเข้า กฎ 3 ส่วน ไปเลย อาจจะจัดเป็น ท้องฟ้า 1 ส่วน city 2 ส่วน หรือจะฟ้า 2 city 1 ก็ได้ แล้วแต่ชอบ



หลังจากที่เริ่มเชี่ยวแล้วก็ค่อย apply เอาทีหลังก็ได้ อาจจะถ่ายเมืองทั้งหมดไม่ต้องเห็นฟ้าเลย หรืออย่างพี่เก้าตอนเค้าถ่าย เค้าก็ทำเป็นกฎ 2 ส่วนไปเลย ก็มี (ซึ่งไม่ควรเอาอย่าง -_-) เมื่อเราได้วิธีการแล้วก็ไปลุยกันเลย


ภาพต่อไปนี้จะเป็นภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ wide 10-22 นะ อย่างภาพด้านล่างนี้ก็ใช้เส้นทางด่วนเป็นพระเอก (Subject) ของภาพ





ภาพนี้ใช้เส้นจากรางรถ BTS กับเส้นทางด่วนที่ตัดกัน จะสังเกตว่าเราแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน (แนวนอน) และให้เส้นที่เป็น subject อยู่ส่วนที่ 1 (ด้านล่าง) และที่เหลือก็ปล่อยเป็นเมืองไป





อย่างที่บอกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่แสงอาจจะยังแข็งอยู่ ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้ภาพน่าสนใจคือ องค์ประกอบภาพค่ะ ต้องหาพระเอกของภาพให้ได้





ใช้ประโยชน์จากแสงแรงๆ ให้ได้ค่ะ ถ้ามีเมฆมาก มันก็จะทำให้เกิด การสาดแสงลงบางส่วนของภาพ อย่างภาพนี้ ต้นไม้โดนแดดพอดี





และในเวลาที่แสงเป็นแบบนี้ ก็ยังมีอีกข้อดีที่มันมีปุยเมฆขาว และท้องฟ้าใสๆ แบบนี้ค่ะ





ถ้าฟ้าสวยขนาดนี้ ก็ถ้าให้ติดฟ้ามาสัก 2 ส่วน ภาพนี้รู้สึกเหมือนเมฆกำลังวิ่งไปข้างหน้าเลย





คือ มันอาจจะไม่สวยเท่าช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก แต่มันก็พอไปวัดไปวาได้ ถ้าเราจัดองค์ประกอบเป็น และหาพระเอกของภาพได้ค่ะ





อย่างที่บอกตอนแรกว่า ให้ใช้กฎ 3 ส่วน แต่บางสถานการณ์อาจจะติดปัญหาอะไรบางอย่าง เช่น พอจัดกฎ 3 ส่วนแล้ว มันมีส่วนเกินเข้ามาในภาพ เราก็สามารถประยุกต์ได้





ถึงจะบอกว่าให้ทำตามกฎนั้น กฎนี้ แต่เราก็แหวกออกมาบ้างถ้าจำเป็น





กฎ... มีไว้ให้มือใหม่เรียนรู้ว่า อะไรเรียกสวย และไม่สวย





กฎ... มีไว้ให้มือใหม่ ไม่หลอกและเข้าข้างตัวเองว่า "ชั้นว่าภาพชั้นสวย"





เมื่อไร ที่เรารู้กฎ เราจะแหวกมันได้อย่างสวยงาม และไม่โดนจับได้ค่ะ





ถ่ายภาพวิว จัดแบบแนวตั้งบ้าง ก็น่าจะได้นะ





มาถึงตอนนี้ แสงเริ่มซอฟท์ลงแว้วววว ^O^





เวลาที่เรารอคอย ก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วค่ะ





สังเกตเห็นแสงสีเหลืองสาดมาที่ตึก แสดงว่าตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว





เมื่อเห็นแบบนี้แล้วต้องห้ามพลาดที่จะเก็บฉากพระอาทิตย์ตกเด็ดขาด






ตอนนี้สิ่งที่ต้องรีบคือวิ่งๆ ไปทางทิศที่มีพระอาทิตย์ตก





มาถึงตรงนี้ รู้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าใครคือพระเอกของเรา





ดูๆแล้วมันก็คล้ายๆฉากในหนังเลยแฮะ ที่มี UFO ร่อนลงโลกมนุษย์ >_<






หรือไม่ก็ ในฉากที่ระเบิดลูกยักษ์ถูกทิ้งลงใจกลางเมือง..





เห็นแสงอาทิตย์เป็นลำแสงเลยหล่ะ สวยจริงๆ ^^





ด้วยความที่พื้นมันหมุน พอถ่ายไปสักพักนึง เราก็จะคลาดกะพระอาทิตย์อีกแระ ต้องคอยเดินไปย้อนไปทางทิศตะวันตกจะได้ได้ภาพสวยๆ





บรรยากาศของกรุงเทพฯในช่วงพระอาทิตย์ตกนี่สวยจัง





ถ้าลองถ่ายในมุมอื่นที่ไม่ใช่ด้านที่พระอาทิตย์ตก ก็จะได้เป็นแสงเหลืองๆอาบตึกด้านล่าง และโดยเฉพาะวันนี้ เมฆหนาแน่น จนเกือบเป็นสีเทาเข้มๆ ดำๆ เลยค่ะ นี่ละมั้ง คือเสน่ห์ของธรรมชาติ ที่เราจะได้สีสันแปลกตาได้ ไม่ซ้ำกันซักวันเลยล่ะ





เก็บภาพเมืองแล้ว ก็อย่าลืมเก็บบรรยากาศอื่นๆด้วยนะคะ มันก็มีมุมสวยๆ ให้เราเลือกถ่ายอีกเยอะ ^^





เอาหละ เรามาต่อกันที่เลนส์ Tele กันบ้างดีกว่าาา


เลนส์ Tele
มี character พิเศษคือ ดูดทุกอย่างให้เข้ามาใกล้ตัวเรา ฉะนั้นด้วยเจ้าเลนส์เทเล่นี่หล่ะ จะทำให้เราจัดองค์ประกอบได้ง่ายขึ้นในการถ่าย city scape จากตึกสูงๆแบบนี้ เพราะทำให้เราหา subject ที่จะถ่ายได้ง่าย และเราก็ครอปเอามาเฉพาะจุดที่เราต้องการ ภาพที่ออกมา โอกาสเรี่ยราดจะน้อยกว่าเลนส์ wide


ดังนั้น สิ่งที่เราจะมองหา แล้วจับมันมาเป็น Subject ในภาพตอนที่เราใช้เลนส์ Tele ก็คือ



1. ตึกสูง ให้เป็นตึกที่สูงขึ้นมาโดดเด่นจากตึกข้างๆ หรือเป็นตึกที่มีรูปทรง หรือสีสันแปลกตา ดึงดูดสายตา


2. เส้นถนน / ทางด่วน พวกนี้เราครอปมาเป็นส่วนๆได้เลย โดยเลือกจุดที่เส้นมันตัดกันไปมา จะยิ่งทำให้ภาพน่าสนใจขึ้น  



3. บริเวณที่มีสีสันเยอะๆ  เช่น สีของสนามหญ้าสวนสาธารณะที่อยู่ใจกลางเมือง (แบบ central park ในนิวยอร์ค..... อะไรงี้ ถึงแม้จะไม่เคยไป แต่ก็เคยเห็นในหนังละน่าาาาา) หรือแม่น้ำที่ตัดผ่านกลางเมืองก็ได้ สีมันจะแตกต่างไปจากสีของตึก ก็ทำให้ส่วนนั้นเด่น ใช้เป็น subject ในภาพถ่ายของเราได้เหมือนกัน


พอได้ subject มาแล้ว ก็มาจัดองค์ประกอบเข้ากฎ 3 ส่วน หรือจะเป็นกฎจุดตัด 9 ช่องก็ได้ จากนั้นก็ค่อย apply ตามจินตนาการของศิลปินได้เลยนะค๊าาา ^^ อย่างภาพด้านล่างก็ใช้เลนส์ Fix 100 ถ่ายครอปเฉพาะทางด่วนตรงเส้นที่มันตัดกันไปมา





ภาพนี้ ตั้งใจครอปให้เส้นทางด่วนผ่าภาพนี้ไปเลย และมีตึกอยู่บริเวณจุดตัด 9 ช่องค่ะ





บังเอิญไปเห็นสนามหญ้าสีเขียวๆ ตัดกับสีของกลุ่มตึก เลยจับมาใส่ในภาพซะเลย





เล่นรูปทรงของตึกทรงยาวๆ ได้บรรยากาศคล้ายฮ่องกงทีเดียว





เส้นทางด่วน ขนานไปกับเส้นรถไฟฟ้า วางไว้บริเวณจุดตัด 9 ช่อง





ภาพนี้ ขอลักไก่ ใช้สีของฟ้ามาเป็นพระเอกของภาพค่ะ ฟ้าสีหวานขนาดนี้ ไม่พลาดอยู่แล้ว





ใช้ทรงตึกเป็นพระเอกค่ะ





เข้ากฎ 3 ส่วน ฟ้า 1 เมือง 2





ตั้งใจให้สนามหญ้าเขียวๆ เป็นพระเอก จึงวางไว้ที่จุดตัด 9 ช่อง





พอช่วงพระอาทิตย์เริ่มตกดิน แสงสีของภาพเราก็เริ่ม soft ขึ้น





เปลี่ยนเป็นแนวตั้งดูบ้าง





หันมาจับเฉพาะทางด่วน ด้วยแสงซอฟท์ๆ แบบนี้บ้าง





พอพระอาทิตย์ตก เราก็หันกล้องไปทิศที่พระอาทิตย์ตกเลย ท้องฟ้าตอนนั้นจะสวยมากและเห็นแสงเป็นลำแสงเลยหล่ะ (ถ้าอยากได้แสงเป็นลำแบบนี้ ให้ถ่าย Under นะคะ)





บรรยากาศพระอาทิตย์ตก บางคนก็ว่าโรแมนติก บางคนก็ว่าดูเหงาๆ สำหรับเบญ ไม่เหงาเลยค่ะ เดินหามุมไปเรื่อยๆ สนุกจริงๆ





สังเกตดูว่า แสงที่ส้มต่างกัน ก็ให้บรรยากาศที่ต่างกันเนอะ





หลังจากที่ถ่ายมาสักพักนึง ความเห็นส่วนตัวเบญรู้สึกว่า compose ภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ Tele จะดูลงตัวกำลังดีกว่าเลนส์ wide นะ





เพราะด้วยความที่อยู่บนตึกสูง มันขยับมุมอะไรไม่ได้มาก ได้แต่เอียงซ้าย เอียงขวา นิดๆหน่อยๆ ถ้าถ่ายด้วยเลนส์ wide มุมที่ได้มันก็ดู เหมือนว่ามันซ้ำๆ ทั้งๆ ที่ถ่ายคนละมุมกัน และมันก็จะธรรมดาๆ กว้างๆโล่งๆ





แต่พอเราเปลี่ยนเป็น Tele ปุ๊บ เราจะซูมเข้า-ออกได้ และครอปมาเฉพาะจุดที่เราต้องการ ทำให้คอมโพสดูแน่นปี๊กมากกว่าเลนส์ wide อะนะ จึงเป็นเหตุผลว่า ถ้าจะเก็บภาพด้วยเลนส์ Wide รอเวลาพระอาทิตย์ตก น่าจะเซฟที่สุดค่ะ





ก็ให้ไว้เป็นไอเดียสำหรับแฟนๆ Photo Corner ที่อยากจะลองขึ้นไปถ่ายภาพ City Scape จากตึกสูงบ้าง อย่าลืมติดเลนส์ Tele ไปลองด้วย อาจจะติดใจ อิอิ





เคยได้ยินกูรูของการถ่ายภาพท่านนึงบอกไว้ว่า “ที่แคบใช้เลนส์กว้าง ที่กว้างใช้เลนส์แคบ” ก็คงจะจริงอย่างที่เค้าว่า นับว่าเป็นทริกเด็ดๆอันนึงสำหรับขาแลนด์เลยหล่ะ ที่จะทำให้คอมโพสภาพของเราลงตัวมากขึ้น อยากให้ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ ^^





คราวนี้พอพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาทองคำที่เรียกกันว่า "ทไวไลท์"  แต่เวลานี้ ยังไงก็ถือถ่ายไม่ได้แน่นอน จะตั้งขาที่ชั้นพื้นหมุนก็ไม่ได้ จะถ่ายท่าไหน ก็เบลออยู่ดี เลนส์ก็ไม่มีกันสั่นด้วย พวกเราก็เลยทำการย้ายกองถ่ายลงมาที่ชั้น 77 ตามระเบียบ เอาหละ.. มาดูอุปกรณ์ที่เราใช้กันดีฝ่า..





1.    เลนส์ Wide


2.    ขาตั้งกล้อง


3.    สายลั่นชัตเตอร์



มาเริ่มกันเลย เบญจะใช้ โหมด AV ถ้า Nikon ก็โหมด A , F = 8 เพราะต้องการภาพชัดลึกและทำให้เห็นแสงไฟเหมือนแสงเลเซอร์





 

เวลานี้ สิ่งที่เราจะมองหาให้มาเป็น subject ของภาพเราก็คือ จุดที่มีแสงไฟเยอะๆ ทั้งไฟจากเส้นถนน, ทางด่วน, ไฟจากรถยนต์ หรือกลุ่มตึกต่างๆ ก็ใช้ได้หมดเลย เพราะแสงไฟพวกนี้จะดูโดดเด่นออกมาจากเมือง 






และอีกอย่างที่เพิ่งค้นพบตอนไปถ่ายคราวนี้คือ ถ้าเราหันกล้องไปในทิศที่พระอาทิตย์ตก (ก็ทิศตะวันตกนั่นแหละ -_-") ท้องฟ้าจะมืดช้ากว่าทิศอื่น ทำให้เราเก็บฟ้าทไวไลท์ได้นานขึ้น





สำหรับภาพช่วงทไวไลท์จะถ่ายมาแต่เลนส์ wide เพราะกลัวว่า ถ้ามัวแต่เปลี่ยนเลนส์ก็จะพลาดช็อตดีๆไป ถ้าได้มีโอกาสขึ้นมาอีก จะเก็บภาพด้วยเลนส์เทเล่มาฝากนะคร๊าา  ^^/





ถ่ายแนวตั้งบ้างไรบ้าง (เงาสะท้อนในภาพตรงท้องฟ้าไม่ได้เกิดจากการสะท้อนจากด้านหลังกระจกนะ แต่เป็นแสงสะท้อนจากตัวเมืองเข้ามาที่กระจกของตึก หรือ กระจกเลนส์เอง)





คราวนี้เรามาต่อกันที่ การถ่ายภาพ City Scape ผ่านกระจก พอเราถ่ายไปถ่ายมา ก็ดันเหลือบไปเห็นอะไรแว๊บๆในภาพ อ๊ะ.. นั่นมันคือเงาสะท้อนนี่หน่าา o_O" ด้วยความที่ด้านในตึกมันสว่างกว่าด้านนอก เวลาเราถ่ายภาพออกไปด้านนอก ทำให้เกิดปัญหาเงาสะท้อนขึ้น แต่วันนี้เราก็มีผู้ท้าชิง 3 วิธี คืออออ


1. เอาเลนส์ไปแนบกระจก ภาพข้างล่างนี่เป็นภาพที่ได้ตอนที่เราลองเอาเลนส์ไปแนบกระจกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผลที่ได้คือยังเห็นเงาสะท้อนอยู่ดี แถมยังจัดองค์ประกอบได้ยากมว๊ากก วิธีนี้เลยตกรอบไป -_-"










2. ใส่ CPL แล้วหมุนหามุมที่สะท้อนน้อยสุด
วิธีนี้เริ่มดีขึ้นมาหน่อยหล่ะ แสงสะท้อนเริ่มหายไป แต่ยังมีพอให้เห็นจางๆ





3. ใช้ผ้าดำเจาะรู ตอนแรกก็คิดกันว่า วิธีที่ 3 จะเป็นการเอาเสื้อกันหนาวมาคลุมทั้งกล้องและหัวตากล้องไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดดีมั้ยเนี่ย แต่แล้วก็บังเอิญไปอ่านเจอในหนังสือสอนถ่ายภาพเล่มนึงที่ชื่อว่า SHOOT at ME easy DSLR เขียนโดย คุณ TANTANDAD เค้าเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า "ผ้าดำทะลุมิติ"





โดยตัดผ้าดำให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 35 cm , ยาว 25 cm และให้รูที่เจาะตรงกลาง เส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากะความอ้วนของกระบอกเลนส์ วิธีคำนวณหาก็เอาสายวัดมาวัดรอบกระบอกเลนส์ว่ายาวกี่ cm เราจะได้เส้นรอบวงมา แล้วก็เอามาเข้าสูตรหาเส้นผ่าศูนย์กลาง คือ เส้นผ่าศูนย์กลาง  =  เส้นรอบวง x 7/22 (อย่าหาว่าทำตัวเป็นครูสอนเลขหล่ะ อิอิ =^^=)


สำหรับเลนส์ wide 10-22 ที่เบญใช้ จะอยู่ที่ 7.5 cm ส่วนมุมผ้าก็เอาจุ๊บยางมาติดไว้ 4 อัน เอาไว้ติดกะกระจก หน้าตาก็จะออกมาเยี่ยงนี้.. ( อันนี้เป็นผลิตภัณฑ์จากผู้สูงอายุ Hand Made โดยแม่ของเบญเอง  เพราะเบญไม่มีปัญญาเย็บเอง ฮี่ๆ )


เวลาจะใช้ เราก็แค่ถอดเลนส์ออกมา แล้วเอาผ้าใส่ทางตูดเลนส์ จากนั้นก็ติดเลนส์กลับไปที่กล้อง แค่นี้ผ้าก็จะพอดีกะเลนส์แระ เราก็เริ่มปฎิบัติการใช้ผ้าดำทะลุมิติอันนี้ ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็น ไม่มีเงาสะท้อนแม้แต่น้อย ขอบคุณ TANTANDAD จริงๆ ที่ทำให้การถ่ายรูปผ่านกระจกของเราง่ายขึ้น -/\- สรุปว่าการใช้ผ้าดำเจาะรู ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศไปครองค่ะ


ลองทำดูนะคะ ไม่ยากเลย (แต่เย็บผ้านี่ไม่รู้นะ) พกก็ง่าย แค่พับเหลืออันเล็กๆ ใส่กระเป๋ากล้องติดไว้ พอเจอสถานการณ์แบบนี้ก็หยิบมาใช้สบายๆ ^^





หลังจากเก็บกล้องเรียบร้อย พวกเราก็ยกขบวนกันมาที่ชั้น 83 เพื่อรับ Free Welcome Drinks เค้าจะมีเครื่องดื่มให้เราเลือกหลายอย่าง ทั้งกาแฟ และก็พวกน้ำผลไม้ต่างๆ ไปถึงเบญก็ไปหาที่นั่ง และก็เลือกสั่งมา 3 แก้ว มีมะนาวโซดา, น้ำมะพร้าว และก็น้ำส้มคั้น ตอนที่น้ำมาเสิร์ฟ เค้าก็ยกป๊อปคอร์นมาให้ทานด้วย ชอบจัง เพราะตอนนั้นกำลังหิวอย่างหนัก..





บรรยากาศที่นี่จะออกแนว Lounge มืดๆ มีแสงไฟสีๆวิ่งไปวิ่งมา เท่าที่สังเกต ส่วนใหญ่คนที่มานั่งจะเป็นนักท่องเที่ยวนะ และตอนนั้นมีทัวร์จีนมาลงด้วย -_-"





ในความรู้สึกเบญคิดว่ามันนั่งไม่ค่อยสบายนัก อากาศมันไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่ได้นั่งแช่นานาๆ ก็ใช้เป็นที่นั่งดูวิวกรุงเทพตอนกลางคืนได้อ่ะนะ สำหรับทริปถ่ายรูปบนตึกสูงวันนี้ก็จบทริปแต่เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนสนุกและมีความสุขกะการถ่ายภาพนะค๊า ^^/


สินค้าแนะนำ
x

ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในตะกร้า