สินค้าที่เลือกมีหลายสเปค/สี/ราคา โปรดเลือกจากรายการด้านล่างแล้วคลิกปุ่ม "ใส่ตะกร้าสินค้า"

ถ่ายพอทเทรต Twilight City Portrait ด้วยแฟลช

สินค้า
สถานะสินค้า
ราคา
จำนวน
สินค้าหมดชั่วคราว
* สินค้าที่มีสถานะ "รอยืนยัน" เป็นสินค้าที่ต้องเช็คสต็อคก่อน สามารถสั่งซื้อได้ตามปกติ เจ้าหน้าที่จะตอบกลับใน 1 วันทำการ
รายละเอียดเพิ่มเติม
ถ่ายพอทเทรตกลางคืน (Night Portrait) ด้วยแฟลช

ถ่ายภาพกลางคืนเป็นปัญหาของหลายคน ปัญหาเรื่องอะไรบ้าง?

1. ถ่ายแล้วดูน่ากลัว
2. ถ่ายแล้วมืดไป
3. ถ่ายยาก ไม่รู้จะปรับกล้องยังไงให้มันสวย
4. ปัญหาอื่นๆ เยอะแยะที่จะทำให้ไม่อยากถ่ายภาพกลางคืน

คราวนี้เราจะพามาถ่ายภาพกลางคืน การถ่ายที่หลายๆคนถามเข้ามาเนี่ยแหละ วันนี้ได้ตอบกันเป็นเรื่องเป็นราวซะที




ก่อนจะถ่ายรูป เรื่องแรกที่ต้องทำก่อนอื่นเลยก็คือ เราต้องกำหนดโจทย์ให้กับอัลบั้มของเรา

เราอยากถ่าย Night Portrait ใช่ปะ เราก็กำหนดโจทย์แบบนี้ละกัน "Night City Porttait" City อีกแล้วเอาใจขา City Scape กันอีกแล้ว



ภาพที่เราจินตนาการไว้ อยากได้ภาพที่มีองค์ประกอบประมาณนี้
1. มีเมือง
2. มีสาวชาวเมือง
3. มีโบเก้ไฟ สีต่างๆ

ดังนั้น สถานที่ที่เราเลือกก็คือ หน้าสยามพารากอน ตอนกลางคืนนั่นเอง เพราะที่นี่ตอนกลางคืนจะมีไฟเยอะแยะ สวยงาม หลากหลายสีค่ะ



การถ่าย Night Portrait เราจะต้องถ่ายให้เห็นแสงไฟเยอะๆ เพราะอะไร?

เพราะเราถ่ายภาพกลางคืน อะไรคือจุดเด่นของกลางคืน (ห้ามตอบว่าความมืด)
จุดเด่นของตอนกลางคืนก็คือ แสงไฟค่ะ ดังนั้นเราต้องถ่ายให้ติดแสงไฟ และแสงไฟพวกนี้จะให้สวย ต้องถ่ายให้เห็นเป็นโบเก้กลมๆ ด้วย

ดังนั้น เราจะต้องมองหาแสงไฟเยอะๆ วางแบบของเราไว้ตรงที่เห็นไฟเยอะๆ และสร้างระยะ สร้างโบเก้ให้สวยๆค่ะ



อุปกรณ์ที่ใช้หละ

แน่นอน กล้องถ่ายรูป เราใช้กล้อง Canon 600D



เลนส์ เลือกเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างที่สุดเท่าที่เราจะหาได้
เราเลือก Canon 50mm F1.8 ตัวนี้แหละ



แฟลช... แน่นอน ถ่ายกลางคืนแบบนี้ แสงไฟสว่างบ้าง มืดบ้างแบบนี้ ยังไงก็ต้องยิงแฟลชช่วยค่ะ



การ Setting อุปกรณ์

เราใช้โหมด M ในการถ่ายค่ะ เพราะสถานที่แสงไม่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมามากนักเพราะเป็นตอนกลางคืน
ทำไมเราไม่ใช้โหมด AV... เพราะเราต้องถ่ายแบบยืนใกล้ๆกับแสงไฟบ้าง ห่างแสงไฟบ้าง ถ้าให้กล้องวัดแสงตลอดทุกครั้งที่ถ่าย รับรอง กว่าจะ setting ค่าแสงที่พอดีแต่ละครั้ง มีหวังไปเสร็จเอาเที่ยงคืน
โหมด M เนี่ยแหละ Work มากในสถารณะการณ์แบบนี้



การวัดแสง ปรับวัดแสงเฉลี่ยทั้งภาพ เพราะอะไร เพราะมันง่ายดี



ถ้าใครจำวิธีถ่ายโหมด M ได้ เราจะเริ่ม set ค่าอะไรก่อน...

เริ่มจากปรับ ISO เป็น 100 ก่อนเลยค่ะ



สำหรับ Night Portrait แสงมันก็น้อยอยู่แล้ว โบเก้ก็อยากได้ถูกปะ ดังนั้น ใช้ค่ารูรับแสงที่กว้างที่สุดเท่าที่เลนส์มันทำได้ไปเลย อย่างเราใช้ 50 F1.8 ใช่ปะ เราก็ปรับรูรับแสงไปที่ F1.8 เลย เพิ่อให้กล้องเปิดรับแสงได้เยอะๆ และการเปิดรูรับแสงกว้างๆก็จะทำให้เราได้โบเก้สวยๆ อีกด้วยค่ะ



Speed Shutter เราก็ปรับแบบให้เราถือได้ เช่น เราใช้เลนส์ 50mm เราก็ต้องได้ Speed Shutter ไม่ต่ำกว่า 1/50 เราก็ปรับ 1/50 ไปเลย



ตอนนี้ได้ค่ารูรับแสง F1.8 และได้ Speed Shutter 1/50 แล้วนะ

เราก็เริ่มวัดแสงกัน เราจะวัดแสงที่ฉากหลัง โดยไม่ต้องให้แบบเข้ามาอยู่ในเฟรมหรอก วัดฉากหลังที่เราจะถ่ายไปเลย
ถ้าสเกลวัดแสงมันติด Under เราก็เพิ่ม ISO เข้าไปจนสเกลวัดแสงมันอยู่ตรงกลาง
เราได้ ISO 800 ค่ะ

จากนั้นเราจะใช้ค่า F1.8, Speed Shutter 1/50 และ ISO 800 นี้ไปจนจบ Trip เลยนะ (ถ้าเราไม่ย้ายสถานที่ไปไหน)



การปรับแฟลชหละ (อย่ากรีดร้อง...)
เราเลือกโหมด E-TTL และปรับพลังแฟลชไว้ตรงกลาง



เราจะใช้แฟลชแยก ให้เพื่อนถือแฟลชให้ ทิศทางการยิงแฟลช เราจะยิงแฟลช 45 องศาจากหน้าแบบ และ 45 องศาในมุมกด



ถ้าใครไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ หาใครไม่ได้จริงๆ ก็ติดแฟลชบนขาตั้งกล้องได้ ทิศทางเหมือนเดิมค่ะ



บางคนสงสัย ไม่ยิงแฟลชได้มั้ย

มาทดสอบกันดีกว่าว่า ยิงแฟลช กับ ไม่ยิงแฟลช ได้ผลต่างกันยังไงค่ะ





การไม่ยิงแฟลชมันก็ถ่าย Night Portrait ได้เหมือนกัน แต่ลองเปรียบเทียบภาพที่ได้ดูสิภาพ 2 ภาพนี้ส่งตรงมาจากหลังกล้องเลย ไม่ได้แต่งเติมอะไรทั้งนั้น
ภาพที่ไม่ยิงแฟลชจะสังเกตุว่า แบบจะดูมืดๆ จมๆ ไปกับฉากหลัง ส่วนภาพที่ยิงแฟลชจะเห็นได้ชัดเจนว่า แบบสว่างสดใสโดดเด่นสวยงาม
สรุปแบบไม่ต้องคิดมากว่า "ยิงแฟลช Work กว่า"



ถ้าใครไม่มีขาตั้งกล้อง หรือสถานที่เค้าไม่ให้ใช้ขาตั้งกล้องเหมือนพารากอน ก็เอาแฟลชแยกติดเข้าไปที่กล้องก็ได้ แล้วยิงแฟลชไปตรงๆ ค่ะ



ได้ภาพประมาณนี้ แต่ข้อแนะนำคือ อย่าให้แบบหันหน้าตรงๆเข้ากล้อง เพราะการยิงแฟลชตรงๆ เข้าหน้าตรงๆ หน้าจะแบน ไม่มีมิติ ให้แบบหันหน้า 45 องศาให้กับกล้องดีกว่า



หรือสุดท้าย ใครไม่มีแฟลชแยก ก็ใช้แฟลชหัวกล้องได้นะจ๊ะ

ไม่ต้องห่วงเรื่องเงาจากปากกระบอกเลนส์ไปทับแบบ เพราะเราใช้เลนส์ 50 F1.8 ปากกระบอกเลนส์มันสั้นอยู่แล้ว ไม่เหมือนเลนส์ 10-22 ที่ปากกระบอกเลนส์มันยาว



พลังของแฟลชหัวกล้องก็พอไหวนะ อาจจะไม่สว่างไสวสวยงามเท่าแฟลชแยก แต่ก็พอได้น่า



เอามาเปรียบเทีบกันระหว่างการยิงแฟลชแบบต่างๆ ใครใคร่ใช้วิธีไหน ก็ใช้กันตามอัทธยาศัย (และอัตภาพ 555)



หัวใจของ Night Portrait คือ

1. การควบคุมความแรงของแฟลช อย่ายิงแฟลชแรงไป หรือ เบาไป



2. ทิศทางของแสงแฟลช ยิงให้ถูกทิศ ทำให้หน้ามีมิติ อย่าทำให้หน้าแบบดูแบบ



3. การเลือก Location จะต้องหามุมดีๆ อย่าถ่ายให้ติดฟ้าดำมืด เพราะฟ้าดำมืดมันไม่ค่อยสื่อความหมายอะไร และมันดูไม่สวย ให้หาส่วนที่เป็นแสงไฟ และเล่นมันให้เป็นโบเก้ดีกว่า เพื่อสื่อความเป็น Night ให้ได้เต็มที่



เสร็จแล้ว แต่ยังไม่จบ...
การถ่ายภาพ Night Portrait เรามักจะเจอปัญหาถ่ายออกมาแล้วติดสีเหลืองๆ ส้มๆ เนื่องจากไฟกลางคืนมักจะเป็นหลอดไฟ Tungsten ถ้าใครชอบก็แล้วไปนะ แต่ถ้าใครไม่ชอบ เราสามารถมาแก้ไข White Balance ด้วย Photoshop ได้

ภาพนี้คือภาพจากไฟล์ RAW



ภาพนี้คือภาพที่แก้ไข White Balance ด้วย Photoshop



แน่นอนว่า เราต้องถ่ายมาเป็น RAW นะคะ

เราจะใช้ Photoshop CS6 หรือ ใครมี CS5 ก็ได้

เริ่มจากเปิด Adobe Bridge เพระาเลือกไฟล์ RAW ของเรา



โปรแกรมจะเปิด Camera RAW ขึ้นมา
เราก็มาที่แท็ป Lens Collections ก่อน เพื่อติ๊ก Enable Lens Profile Corrections



จากนั้นเราก็มาเลือกที่แท็ปแรก และทำการปรับ White Balance เป็น Tungsten เพราะเราต้องการฉากหลังเป็นสีน้ำเงิน (หลังปรับแล้วมันจะไปโดนแบบด้วย ไม่ต้องคิดมาก)



ปรับความอิ่มสีด้วย Vibrance



ก่อนกด Open ต้องกด Shift แช่แล้วคลิก เพื่อเป็นการเปิดไฟล์แบบ Open Object



พอเปิดไฟล์เสร็ตแล้ว เราก็คลิกเม้าส์ขวาที่ layer แล้วเลือก New Smart Object via Copy



เราจะได้มาอีก Layer เราก็ double click ตรงรูปของเราที่ layer บน



โปนแกรมจะเปิด Camera RAW ขึ้นมาอีก เราจะแก้ White Balance เพื่อให้แบบกลับมาเป็นสีปกติ
เลือก White Balance Tool



คลิกตรงสีขาวที่ตัวแบบ กรณีนี้คือลายตารางบนเสื้อ



ปรับลด Vibrance ลงถ้าเราไม่อยากให้สีผิวติดแดงๆมากไป



ถ้าใครคิดว่าแบบมืดไป ก็สามารถปรับให้แบบสว่างได้ด้วยการปรับ Exposure



จากนั้นก็กด OK



ตอนนี้ Layer แรกของเราเป็น White Balance ของตัวแบบที่ถูกต้องแล้ว



เราจะทำการเปิด Layer สีน้ำเงินด้านหลังด้วยการ Mask Layer

เลือก Quick Selection Tool



ระบายลงไปบนตัวแบบ โดยถ้าเรากด ] จะเป็นการขยายแปรง ถ้ากด [ จะเป็นการลดขนาดแปรง



การกด Alt แช่ แล้วระบายลงไป จะเป็นการลบ selection ส่วนที่เกินออกมา

เราก็เก็บละเอียด selection ไป



จากนั้นก็เลือก Refine Edge



เลือก View เป็น Overlay



ติ๊ก Smart Radius



เลือก Layer Mask



ถ้าใครอยากให้ Photoshop จำ Setting นี้ ก็ติ๊ก Remember Setting



จากนั้นก็ระบายลงที่ขอบๆ ผม (สามารถกด [ หรือ ] เพื่อย่อขยายแปรงได้ตามปกติ)



จากนั้นก็กด OK



โปรแกรมจะสร้าง Layer Mask ขึ้นมา ตอนนี้เราจะใช้ตัวแบบที่เป็น Layer บน ส่วนฉากหลังจะใช้ Layer ล่าง



เลือก Rasterize Layer ทั้ง 2 Layer



คลิกที่ Layer บน แล้วเลือกปุ่มรูปกลมๆครึ่งซีกด้านล่าง



เลือก Curves



เราปรับ Curve เพิ่มเติมอีกนิดหน่อยตามความต้องการของเรา เช่น ภาพนี้เราต้องการให้มัเนเกิด Contrast มากขึ้น เราก็ปรับกราฟเป็นรูปตัว S



จากนั้น เราก็จะรวม Leyer ด้วยการคลิกเม้าส์ขวาแล้วเลอืก Merge Visible





เสร็จเรียบร้อยค่ะ




ภาพต่อไปนี้ก็เหมือนเดิม ดูกันเล่นๆ เป็นไอเดีย



พยามมองหาแสง หาไฟนะคะ การสร้างโบเก้ให้ภาพ ถือว่าเป็นเสนห์ของ Night Portrait กันเลยทีเดียว



ถ่ายโบเก้ต้องเล่นระยะ ต้องแม่นเรื่อง DOF กันหน่อย ใครไม่แม่นลองดู เจาะลึกชัดลึกชัดตื้น กันได้ ถ้าใกล้แสงไฟเกินไป ก็ไม่เกิดโบเก้เป็นวงๆ กลมๆ นะจ๊ะ



ถ่าย Night Portrait เราก็เล่น Rim Light ได้เหมือนกัน แต่ต้องอาศัยความโชคดีเรื่องการมองหามุม



บางทีก็ทำ White Balance ฉากหลังเป็นสีส้มๆ ให้สะใจไปเลยก็ได้



เอียงกล้องบ้าง (ถ้าใครชอบ) แต่ไม่ควรจะมีภาพเอียงๆ อยู่เยอะ คือจริงๆ เอียงกล้องต้องมีเหตุผลว่าเอียงทำไม อย่างภาพนี้ รู้สึกว่าเอียงแล้วเก็บได้ครบกว่าตั้งตรงๆ



แสงไฟที่พารากอนมันเปลี่ยนสีไปมานะ เล่นสีเล่นแสงกันสนุกเลยค่ะ



มองหาไฟกันไป สร้างโบเก้ให้ภาพกันไป



อยากแชร์กันอีกเรื่อง ปัญหาที่เจอตอนมาดูในคอมคือ การถ่ายภาพกลางคืน ภาพหลุดโฟกัสเยอะมาก ขนาดตอนถ่ายก็ดูแล้วนะว่ากล้องมันจับโฟกัสได้ทุกใบ



ด้านน้ำพุหน้าพารากอนก็มีโบเก้ให้เล่นมากมายเหมือนกัน



ลองเล่นกับน้ำพุบ้าง ทางฝั่งนี้จะเห็นน้ำพุลึกเข้าไป ทำให้สร้างโบเก้ได้ดีเลยหละ



แสงไฟบนพื้นของน้ำพุสร้างโบเก้ได้เหมือนกัน



อย่าจำเจกับ White Blance แบบเดิมๆ ลองเล่นแต่งสีสันใหม่ๆดูบ้าง โทนเย็นบ้าง ร้อนบ้าง ลองเล่นกันได้ ไม่ผิดอะไร (แต่สวยไม่สวยอีกเรื่อง อิอิ)



ต่อไปเป็นกล้องของน้าเล็ก กล้อง Canon 5D mk ii กับเลนส์ต่างๆ นาๆ ของน้า (24-70, 70-200)



สำหรับ Night Portrait ต้องยอมรับเลยว่า อุปกรณ์ดีๆ ทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้นเยอะมากๆ และมีผลต่อภาพมากๆ ด้วยเหมือนกัน



ด้วยความเป็นกล้อง Full Frame ซึ่งทำให้สร้างโบเก้ได้ง่ายด้วยแล้ว การจัดการกับ Noise ก็ทำได้ดีอีกด้วย



แถมติดเลนส์ดีๆ เข้าไป ทำให้ภาพ Night Portrait ดูอิ่มสีใช้ได้เลย



ความสดใสและการโฟกัสไม่พลาดเป้าหมายในตอนกลางคืนแบบนี้ อุปกรณ์มันช่วยได้เยอะค่ะ











น้าเนรมิตรโบเข้ได้ดังใจด้วยกล้อง Full Frame อิอิ

Set นี้ยกให้น้าเป็น Man Of The Trip ก็แล้วกัน...





















สุดท้าย

เรียนรู้เทคนิคและวิธีปรับกล้องกันไปแล้วนะ แต่อย่าลืมว่า แค่ปรับกล้องได้ ยิงแฟลชได้ มันยังไม่ได้ทำให้ภาพสวยอย่างที่เราอยากได้ทั้งหมดหรอก

การควบคุมอุปกรณ์มันเป็นแค่องค์ประกอบนึงของการถ่ายรูปเท่านั้น
องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างคือ การสื่อเรื่องราวที่น่าสนใจลงในภาพของเราตะหากที่ทำให้คนอยากจะหยุดดูรูปถ่ายของเราค่ะ

เราคิดเสมอเวลาเราถ่ายภาพว่า ภาพที่เราถ่ายใบนี้ เรามีอะไรให้กับคนดูภาพของเราบ้าง และมันคุ้มค่ากับเวลาที่เค้าจะหยุดดูภาพของเราหรือเปล่า....
นอกจากหาฉากหลังสวยๆ โบเก้สวยๆ เราลองให้แบบเราใส่เรื่องราว มี prop บ้างไรบ้าง มองหาเงาสะท้อนบ้าง เพื่อให้ภาพของเรามีความน่าสนใจมากขึ้นนะจ๊ะ

Location : สยามพารากอน
Model : น้องเวียนนา
FB : http://www.facebook.com/ichii.amane
สินค้าแนะนำ
x

ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในตะกร้า