สินค้าที่เลือกมีหลายสเปค/สี/ราคา โปรดเลือกจากรายการด้านล่างแล้วคลิกปุ่ม "ใส่ตะกร้าสินค้า"

รีวิว Canon EOS M

สินค้า
สถานะสินค้า
ราคา
จำนวน
สินค้าหมดชั่วคราว
* สินค้าที่มีสถานะ "รอยืนยัน" เป็นสินค้าที่ต้องเช็คสต็อคก่อน สามารถสั่งซื้อได้ตามปกติ เจ้าหน้าที่จะตอบกลับใน 1 วันทำการ
รายละเอียดเพิ่มเติม
รีวิว Canon EOS M

ในที่สุด Canon ก็ออกกล้อง Mirrorless ออกมาจนได้ (นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว)

สิ่งที่เราๆทุกคนสงสัยก็คือ พี่ Canon เล่นออกมาช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเค้าเนี่ย พี่มีอะไรเจ๋งกว่าเค้าหรือป่าว (ทำเป็นถามว่าเจ๋งกว่าเค้าหรือป่าว เราไม่เคยใช้ของค่ายอื่นซะหน่อย)

อย่าเกริ่นยืดยาวเลย เนื้อหามันเยอะ ไปดูกันเลยดีกว่า




เช็คราคา Canon EOS M ได้ที่นี่


เริ่มต้นสำหรับคนที่ไม่รู้ว่ากล้อง Mirrorless คืออะไรกันก่อนดีกว่า





กล้อง Mirrorless พูดง่ายๆมันก็คือ กล้องที่มี sensor ที่ใหญ่พอๆกับกล้อง DSLR แต่มีขนาดเล็ก และสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้นั่นเอง





กล้อง Mirrorless มันก็จะไม่มี Optical Viewfinder (ช่องมองภาพ) แบบกล้อง DSLR ดังนั้น ถ้าได้จับมันครั้งแรก อย่าเผลอเอาตาไปส่องเพื่อเล็งนะจ๊ะ (เด๋วจะหาว่าไม่เตือน โปรๆทั้งหลาย พลาดกันมาเยอะแล้ว อย่างโปรน้าเล็ก)






ก่อนอื่น กล้อง DSLR มันทำงานยังไง กระจกที่ว่ามันอยู่ตรงไหน


ตามภาพ เวลาเรามองเข้าไปใน View finder หรือช่องมองภาพ แสงจะเข้ามาสะท้อนกระจก แล้วมากลับภาพที่ปริซึม (Prism) เข้ามาที่ตาเรา





พอเรากดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพ กล้องก็จะยกกระจกที่ว่าขึ้นเพื่อให้แสงส่องลงไปที่ sensor เพื่อบันทึกภาพ





ทีนี้กล้อง Mirrorless มันก็แค่เอาไอ้เจ้ากระจกสะท้อนและปริซึมออกไปเท่านั้นเอง ก็เลยทำให้ขนาดความใหญ่ของกล้องลดลงไปอีกจมเลย


แล้วจะเล็งภาพถ่ายรูปกันยังไง?


ก็ใช้ Live View แบบกล้อง DSLR ที่ถ่ายด้วย Live View mode ไงหละ





มาดู Build Quality กันบ้าง


บอกว่าเอากระจกสะท้อนกับปริซึมออกไปแล้ว ทำไมราคามันยังพอๆกับ 650D หละ?


ก็เพราะตัว Body มันทำจาก แมกนีเซียม อัลลอย (Magnesium alloy) ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกันกับที่ทำ body ของกล้อง 5D mark iii นั่นเอง


และแถม LCD ที่ให้มายังเป็น LCD คุณภาพอย่างดีอีกด้วย เด๋วค่อยว่ากันเรื่อง LCD


การจับถือนี่ ถือว่ารู้สึกดีและมั่นคงกว่ากล้องคอมแพคมากๆ คือด้วย body มันดี มันเลยบีบจับแล้วดูแข็งแรง ไม่กร๊อบแกร๊บ บีบแรงๆก็รู้สึกว่ากล้องมันแน่นปั๊กเลย





ช่องเสียบต่างๆก็ประมาณนี้


ช่องเสียบไมค์, ช่อง HDMI, ช่องต่อสายเข้าคอม


ไม่มีช่องเสียบสายลั่นชัตเตอร์ !?! (มีสารพัดช่องให้เสียบ)





ช่องตรงนี้ใส่แบ็ตและ SD Card แบ็ตใช้รุ่น LP-E12 นะจ๊ะ





ไม่มีช่องเสียบสายลั่นแล้วทำยังไงกันดี


1. ตั้งเวลาถ่าย


2. ใช้สายลั่นแบบไร้สาย (สมควรเรียกสายลั่นไหมนั่น เราเรียกให้มันไฮโซ ว่า Wireless remote ดีมะ)





ตรงนี้คือช่องรับสัญญาณ IR จาก remote ลั่นชัตเตอร์ เวลาถ่ายก็แค่เอาหัว remote ชี้มาที่ช่องนี้





วิธีปลดล็อกเลนส์ ก็กดปุ่มกลมๆอันนี้





เลนส์ที่ใช้กับกล้อง Canon M ตัวนี้ คือเลนส์ที่มีรหัส EF-M นะ สัญลักษณ์ก็จะเป็นจุดกลมๆ





ขนาดของแบ็ต LP-E12 ก็จะเล็กกว่า LP-E8 ของ 650D มาก ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็ประมาณเท่าๆกัน ก็เหมือน 650D เปิด Live View ถ่ายรูปตลอดแหละ ถ้าถ่ายทั้งทริป ยังไงก็ต้องมีแบ็ตสำรอง 2-3 ก้อนกันเลยทีเดียว





มาถึงการ Operate กล้องกันบ้าง


กล้อง Canon M ตัวนี้ให้ปุ่มมาน้อยๆ แต่สามารถ setting ได้ไม่ต่างจากกล้อง DSLR เลย


มาดูกันว่ามีปุ่มอะไรบ้างที่เค้าให้มา





ปุ่มที่ให้มาก็ประมาณนี้


ปุ่ม Main Dial เป็นล้อหมุน และสามารถกดได้ บน ล่าง ซ้าย ขวา


บน คือ Drive mode ใช้ตั้งเวลาถ่ายหรือถ่ายรัว


ขวา คือปุ่มชดแสง หรือถ้าในโหมด M จะเป็นการสลับระหว่างการปรับค่ารูรับแสงกับ speed shutter


ซ้าย คือปุ่ม AE-Lock


ล่าง ในโหมดถ่ายรูป เลือกโฟกัสเป็น Single การกดปุ่มล่างคือการสั่งให้ selection point มาอยู่ตรงกลาง





โหมดที่ให้มาก็ประมาณนึง ก็พวกโหมดที่ใช้หลักๆ และโหมด auto ต่างๆจะไปอยู่หน้า 2 ก็พูดง่ายๆว่ามากันครบแหละ





จะเปลี่ยนค่ารูรับแสง speed shutter ก็ touch กันได้เลย





ใครคิดถึงหน้าจอ quick menu แบบ 650D ก็กดปุ่ม info กันได้





หรือใครคิดว่า touch มันไม่เร็วพอ จะใช้ตัว main dial ที่เป็นล้อหมุน ปรับค่ารูรับแสง, speed shutter กันเลยก็ได้


ความเห็นส่วนตัว การที่ทุกอย่างมันอยู่ที่นิ้วโป้ง แล้ว main dial มันเป็นล้อหมุนแบบนี้ มันทำให้ปรับค่าต่างๆได้เร็วกว่ากล้อง 650D ซะอีก





ปุ่ม AE-Lock หรือปุ่มรูปดาว ก็มีให้ด้วยเหมือนกัน และก็ทำงานเหมือนของ 650D เลย ดังนั้นจะล็อกแสง ก็กดปุ่มนี้ได้เลย





เรื่องของเสียงชัตเตอร์หละ?


คือจะว่าไงดี เรื่องเสียงชัตเตอร์มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเหมือนกันนะ บางคนชอบเสียงชัตเตอร์กันเป็นชีวิตจิตใจกันเลยทีเดียว





เสียงชัตเตอร์มันเบามากเมื่อเทียบกับ 650D เสียงเป็นไงก็ตามวีดีโอนั่นแหละ





การถ่ายรัว กล้อง Canon M มันถ่ายรัวได้ 4.3 fps ถ่ายเป็น JPG ต่อเนื่องได้ 15 shots ถ้า RAW ต่อเนื่องได้ 6 shots ถ้า RAW+JPG ได้ 3 shots





เคยมีคนถามว่า กล้องถ่าย jpg รัวต่อเนื่องได้แค่ 3 shots เพราะอะไร? ทั้งที่ spec บอกว่ารัวต่อเนื่องได้ 15 shots


เพราะไปเปิด Chromatic aberration เอาไว้ไง ถ้าอยากถ่ายได้รัวต่อเนื่อง 15 shots ตาม spec ก็ปิดตัวนี้ไว้ซะ




ส่วนการ touch ก็พอๆกับ 650D นะ แต่รู้สึกว่าเวลาดูรูป Canon M จะสไลด์ได้เร็วกว่าหน่อยนึง





มาถึงเรื่องใหญ่สุดๆของกล้อง Canon M กัน นั่นคือเรื่อง "Auto Focus"


บอกกันก่อนเลยว่า กล้องตัวนี้จะโฟกัสได้ในที่ที่สว่างระดับนึงนะ คือ spec ของมันคือ 1 EV (ถ้าเป็นกล้อง 650D คือ -1 EV) ดังนั้น ถ้ามืดๆหละ มีวีดวาดกันแน่นอน





Auto Focus ที่ให้มามี 3 แบบ คือ


Face Detection ก็คือกล้องจะจับโฟกัสไว้ที่หน้าแบบ





FlexiZone - Multi คือกล้องจะเลือกจุดโฟกัสให้ อะไรใกล้กล้องก็โฟกัสอันนั้น สามารถเอานิ้ว touch ลงไปที่ LCD เพื่อกำหนดขนาด Zone ให้เล็กลงได้





FlexiZone - Single อันนี้เม่นสุดและโฟกัสได้เร็วสุด (เท่าที่ลอง) สามารถโฟกัสในจุดที่ต้องการได้ง่าย เพราะวงในการโฟกัสแคบสุด





เราอยากรู้ว่ามันมีแต่ Live View แล้วมันก็ดูจะโฟกัสช้า ถ้าเราเอาไปถ่าย Street หละ จะไหวไหม


จัดเต็มกันที่เยาวราชเลยละกัน!





เราก็เริ่มเดินจากต้นซอยไปท้ายซอย





ถ่ายไปเรื่อยๆ





ก็รู้สึกได้เลยว่า กล้องมันโฟกัสช้ามาก ถ้าจะเอามา Snap Street แบบนี้


อย่างภาพนี้ตั้งใจถ่ายผู้ชายคนนี้ แต่มันพลาดไปโดนข้างหลัง





แต่ด้วยความที่มันเล็ก เป็นมิตรกับผู้คน เลยทำให้งาน Snap ทำได้ง่าย





คนที่ดูจะอายกล้องก็ไม่เป็นไรมาก ไม่มีปัญหา เพราะรู้สึกว่าไม่โปร





ชัตเตอร์ก็เบา ถ่ายไปแล้วไม่มีใครรู้





ลองเดินกลับดูอีกรอบ





ถ้าจะถ่ายอะไรที่เร็วๆก็ได้ผลเหมือนเดิม คือถ่ายไม่ได้





โดยสรุปในความเห็นของเรา


Canon M มันไม่เหมาะกับการ Snap Street เอาซะเลย เราพลาด moment ดีๆไปเยอะ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความที่มันเล็ก ดูไม่โปร ไม่น่ากลัว ทำให้เราถ่ายได้เป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่า DSLR ดังนั้น ลองไปชั่งน้ำหนักกันดูเอาเองว่า โฟกัสช้า แต่เป็นมิตรกับผู้คน คุณโอเคไหม?





ไหนๆก็เทส AF Speed แล้ว ลองมาเทสโหมด Servo AF กันดีกว่า (เหมือนกล้อง 650D โหมด AI Servo นั่นแหละ)





เราจะทดสอบให้แบบวิ่งเข้าหากล้องดู ว่ามันจะถ่ายทันหรือป่าว





เราทดสอบมาหลายใบมากๆ ถ่ายไปเป็น 10 ได้ภาพไม่เบลอมาภาพเดียว





จริงๆก็ถือว่า เบลอนิดหน่อย





ที่เหลือ ไม่ต้องบอกก็เห็น

โดยสรุป อะไรที่ต้องการการโฟกัสเร็วๆ ไม่ต้องหยิบ Canon M ขึ้นมาเลยจะดีกว่า





กล้องมีแต่ Live View Mode ก็คือพูดง่ายๆว่า ถ่ายรูปผ่าน LCD นั่นเอง


แล้วถ้าเจอแสงแดดแรงๆ หรือ ต้องมองย้อนแสงหละ มันจะถ่ายได้ไหม? เห็นเค้าว่าเป็น LCD อย่างดี





เทสหันหลังให้ดวงอาทิตย์แล้วลองถ่ายดู ก็พบว่าไม่มีปัญหาเลย สามารถมอง LCD ได้แบบไม่มีปัญหา





ต่อให้ย้อนแสง ก็ยังมอง LCD ได้เห็นแบบไม่มีปัญหาต่อการถ่ายรูป


อืมมมมม LCD ของเค้าคุณภาพดีจริงๆ





ต่อมาเรื่องคุณภาพไฟล์





เราก็ทดสอบเหมือนกล้อง 650D แหละ ลองถ่ายย้อนแสงดู แล้วลองมาดึงโน่น ดึงนี่ใน Photoshop





ถ่ายเป็น RAW โดยภาพ Original ถ่ายมาแบบวัดแสงที่ท้องฟ้าให้ได้แสงพอดี เลยติด under กันไปหมดทั้งภาพ





ดึงกลับได้ประมาณนี้


ถามว่าประทับใจไหม?


ตอบเลยว่าประทับใจไฟล์ของมันมาก มันคือไฟล์ระดับเดียวกับกล้อง DSLR นั่นแหละ





แล้วการทำงานในที่แสงน้อย หรือ noise performance เป็นยังไงบ้าง





ทดสอบเทียบกับกล้อง 650D นะ ที่ ISO 1600 - 25600



































คุณภาพของเลนส์ Kit ที่ให้มาเป็นยังไงบ้าง





เราซื้อชุด 22mm F2 มานะ ก็ทดสอบที่เลนส์ตัวนี้ละกัน





ความคม





พอมา Crop 100% ดู ก็ถือว่าคมใช้ได้เลยนะ สำหรับเลนส์ kit ตัวนี้





โบเก้ยังได้ออกมาเป็นวงกลมๆอีกด้วย เพราะตัวไดอะเฟรมมันให้มา 7 กลีบ (ถ้าให้มา 5 กลีบ มันจะออกเป็น 5 เหลี่ยม)





เรื่องการถ่ายวีดีโอ





ก็เหมือน 650D เลย ถ่าย Full HD ต่อเนื่องได้ 30 นาทีไม่มีหยุด (ถ้าใช้ SD Card Class 10)


มี auto focus ขณะถ่ายวีดีโอเหมือน 650D ด้วย


โดนสรุปมันไม่ต่างกับ 650D เลย





สุดยอด benefit ของกล้อง Canon M คือ มันมี Lens Mount สำหรับต่อกับเลนส์ EF-S และ EF ของกล้อง DSLR ด้วย!





ต้องซื้อชุดที่มี Lens Mount นะ


หน้าตามันจะประมาณนี้




ติดเข้าไปแล้วก็หน้าตาแบบนี้





ต่อได้ทั้งเลนส์ EF-S





และเลนส์ EF





เราว่ามันเหมือน 650D ย่อส่วนให้เหลือแต่ Processor และ sensor คือดูง่ายๆ พอติด Lens Mount แล้ววาง Focal lens position ให้ตรงกัน ปาก Lens Mount จะตรงกับปาก Lens Mount ของ 650D เลย





Lens Mount จะมีตัวเอาไว้ขันติดกับขาตั้งมาให้ด้วย ถ้าใครไม่อยากให้มันทิ่มมือ และอยากลดน้ำหนักลง ก็ขันมันออกได้ (มันมีน้ำหนักระดับนึงเหมือนกันนะไอ้เจ้านี่)





ไหนๆก็มี Lens Mount แล้ว เราก็เลยลองคิดกันว่า มันจะสามารถเอามาถ่ายงานจริงจังได้เหมือนกล้อง DSLR ไหม?


ก็เลยจัดหนักกับอุปกรณ์โปรๆทั้งหลายดูเลย





เริ่มจากการจับคู้กับ 70-200 F2.8L IS II USM กัน


(หน้าตาดูเป็นไง?)





ได้ภาประมาณนี้ ภาพที่เห็นคือภาพ Original จากกล้องเลย ไม่ได้ปรับอะไรทั้งนั้น (ถ่ายเป็น JPG มาให้ดู)





ลองติดแฟลช 600EX RT ดูบ้าง








ลองติด Transmitter ST-E2 เพื่อแยกแฟลชดู





โดยสรุป มันทำงานกับอุปกรณ์โปรๆทั้งหลายของ Canon ได้เหมือนกับกล้อง DSLR ปกติเลยหละ





ลองมาติดกับเลนส์ 10-22 แสนรักของเราดูบ้าง





เหมือนเอา 650D มาถ่ายแป๊ะ





ตั้งขาถ่าย City Scape ก็ไม่มีปัญหา








ถ่ายไฟรถวิ่งยาวๆได้ไหม?





ได้สิ







ถ่ายเขียนไฟได้ไหม?




สบายมาก





ถ้าถามว่ามือใหม่ควรซื้อตัวไหนระหว่าง 650D กับ Canon M ก็ต้องถามก่อนว่า มือใหม่ตั้งใจจะถ่ายให้ได้โปรๆ หรือป่าว ถ้าตั้งใจจะ Pro ยังไงก็ต้อง 650D แน่นอน เพราะ Auto Focus มันเร็วกว่า เผื่ออยากจะฝึกถ่ายแนวต่างๆ ก็สามารถฝึกถ่ายได้ไม่ติดปัญหาเรื่องการโฟกัส


แต่ถ้ามือใหม่ ชอบภาพสวยๆ มีคุณภาพ ใช้งานประเภทถ่ายวิว ถ่าย portrait นิ่งๆ ไม่กะจะติดเลนส์ใหญ่ๆ กล้องตัวนี้ก็ถือว่าเหมาะเลยหละสำหรับมือใหม่นักเดินทาง


โดยสรุป กล้อง Canon เป็นกล้องที่ดีมากๆตัวนึง ถึงแม้มันจะโฟกัสได้ช้า แต่ถ้าความเร็วในการโฟกัสไม่เป็นประเด็นในการใช้งาน


กล้องตัวนี้ก็เป็นกล้องอีกตัวที่ โปร หรือ นักท่องเที่ยว ควรจะต้องมีติดกระเป๋าเอาไว้ เพราะคุณภาพของมันล้นเหลือเกินขนาดของมันจริงๆ





ภาพต่อไปนี้ ตั้งใจให้ดูว่า EOS M อยู่ในมือ ติดนั่น นี่ โน่นเข้าไปแล้ว มันเป็นยังไง การ หยิบจับใช้งาน เทียบกับตัวคน เดินถือถ่ายเรื่อยเปื่อยเป็นยังไงบ้าง

















สินค้าแนะนำ
x

ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในตะกร้า